บ้านนาแก

ประวัติบ้านนาแก ตำบลนาแก อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร 35180

ส่วนที่ 1
ประวัติของหมู่บ้านนาแก หมู่ที่ 1
ตอนที่ 1 แรกเริ่มอพยพ
ประวัติเดิมอพยพมาจากเมืองน้ำเนาจำปาศักดิ์ หลวงพระบาง เวียงจันทร์ สวรรณเขต เพราะถูกจีนและทิเบตเขาแย่งชิงอำนาจพวกเราไม่สามารถจะต่อสู้ รุกรานเข้าไปเรื่อยจึงได้พากันอพยพข้ามแม่น้ำโขงมาฝั่งไทยด้วยเรือและแพไม้ไผ่พอมาถึงฝั่งไทยสมัยนั้นเกวียนก็ไม่มี รถก็ไม่มี อาศัยกำลังของตนเองเป็นพาหนะพากันหาบพากันหามสิ่งของเดินตามทางขึ้นเขาลงห้วยด้วยความเหน็ดเหนื่อย ทางเดินก็ไม่สะดวกเหมือนทุกวันนี้
ตอนที่ 2 ตั้งถิ่นฐาน
การเดินทางใช้ความมานะอดทนจนถึงจุดที่หมายที่เมืองหนองบัวหลุบภู ก็พากันไปจอดที่นั่นเป็นห่อมภู แต่เป็นป่าทึบดงหนามีสัตว์ป่านานาชนิดไปอาศัยอยู่ที่นั่น พากันสร้างเหย้าเรือนพอได้อาศัยอยู่ในหลุบภู ที่นั้นเป็นที่นาก็มีน้อยถึงฤดูทำนาที่นาก็แย่งกันได้คนละเล็กละน้อยอาศัยทำไร่ปลูกข้าวและปลูกพืชนานาชนิด ถึงฤดูข้าวผลิดอกออกผลก็มีสัตว์ป่าอาทิเช่น หมูป่า ช้าง มาทำลาย ปลูกฟักแฟงแตงโมถั่วงาก็มีสัตว์มาทำลายเหมือนกัน ทำนาทำไร่ก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควร อยู่กินกันแบบอด ๆ อยาก ๆ เลี้ยงหมา เป็ด ไก่ วัว ควาย ก็ได้ทำดอกไม้ เรียนลำตอนกลางคืน หมาก็ได้เอาขึ้นนอนบนเรือน เถียงนาปลูกขึ้น ช้างก็มาทำลายหมดไม่สามารถจะต่อสู้กับสัตว์ป่าได้นับแต่วันจะจนลงทุกที มาอาศัยอยู่ที่นี่ประมาณ 3 ปี เห็นว่าความสุขไม่มี มีแต่จะจนลงทุกที อีกพวกหนึ่งก็พากันล่องแพและเรือไปตามลำน้ำโขงพอไปถึงปากน้ำมูลไหลตกก็พากันถ่อแพและเรือขึ้นไปตามลำน้ำมูลพอไปถึงท่าบ้านแก้ง บ้านส้มป่อยก็พากันจอดพักที่นั่นเพราะว่าที่นั่นเป็นที่ว่างเปล่าที่นาก็พอหาได้ ปู ปลา กบ เขียดก็อุดมสมบูรณ์ ปลาก็อาศัยหากินตามลำน้ำมูล นาก็เป็นนาทามนาโคกก็มี พอไปสำรวจแล้วเห็นสมควรก็พากันย้ายไปอยู่บ้านแก้งก็มี บ้านส้มป่อยก็มี บ้านเป้าก็มี แล้วแต่ความสมัครใจแต่ละครอบครัว พวกอยู่เมืองหนองบัวก็ได้ข่าวว่าพวกไปอยู่บ้านแก้ง บ้านส้มป่อย และบ้านเป้าไม่อดข้าว ที่นาก็พอหาได้อุดมสมบูรณ์ดี ก็พากันอพยพจากเมืองหนองบัวมาอยู่จังหวัดศรีษะเกษ ก็มาอยู่ด้วยกัน การอพยพสมัยนั้นก็ลำบากมาก รถ เกวียนก็ไม่มีจะเดินทางเท้าก็กลัวสัตว์ป่าก็พากันลงแพและเรือล่องตามลำโขงมาเหมือนกัน พอมาถึงจุดที่หมายก็มีพี่น้องต้อนรับพากันแยกย้ายกันไปพักบ้านพี่เมืองน้องไปก่อน พี่น้องก็พาไปหาที่ปลูกบ้านและที่นา ที่นาก็เป็นนาทามมูลบางปีก็น้ำท่วมที่นาโคกน้ำไม่ท่วมพวกมาก่อนเขาเอาหมดอยู่มาประมาณ20 ปี
ตอนที่ 3 หาที่ตั้งถิ่นฐานใหม่
หลังจากการตั้งถิ่นฐานได้ 20 ปี การทำนาก็ไม่ค่อยพออยู่พอกินมีฝนดีน้ำท่วมทุกปี เพราะเราไปอยู่ที่หลังเขาที่ที่ดีๆ เขาก็เอาหมด ครอบครัวเพิ่มมากขึ้นการหากินและการทำนาก็ไม่เหมาะสมประสบแต่น้ำท่วม เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะทนอยู่ไม่ไหว ลูกหลานเกิดมาทุกวันจะให้เขากินอะไร พวกพ่อตา แม่ยายไปปรึกษากันกับญาครูที่วัดตอนไปจังหันเลยตกลงกันว่าทางจังหวัดอุบลระหว่างอำเภอเขื่อนในต่อเขตอำเภอลุมพุกมีที่ดินว่างเปล่ามาก กุลาเขามาขายของเล่าให้ฟัง เมื่อพูดกันตกลงกันแล้ว ญาครูเห็นดีว่าเอาตาไปดูเสียก่อนหูรู้ไม่เท่าตาเห็น เมื่อเห็นดีกันแล้วก็เตรียมอุปกรณ์สิ่งของ เสื้อผ้า ข้าวสาร หม้อข้าว วันพรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางด้วยช้าง 3 เชือกพอถึงวันรุ่งขึ้นก็พากันเก็บของขึ้นบนหลังช้างมาด้วยกัน 7 คน พระ 2 โยม 5 สมัยนั้นรถก็ไม่มีจะเดินด้วยเท้าก็ลำบาก บ้านก็ห่างป่าดงรกสัตว์ป่าก็มีมาก กลัวอันตรายมีมาก พอมาถึงบ้านบึงแกก็เลยขอพักอาศัยญาครูก็ไปอาศัยที่วัด พวกโยมก็อาศัยนอนศาลาวัด ตื่นเข้าก็เตรียมหุงข้าวสว่างมาเดินทาง พระก็ไปฉันข้าวเช้าข้างหน้าเพราะระยะทางไกล เมื่อมาถึงจุดที่หมายก็พากันขี่ช้างไปดูอาณาเขตลำเซบายห้วยเหล็กเปียก ห้วยบ่อแก ห้วยเหมืองแค้ หนองก็มีมาก สัตว์ป่าก็มีมากวาง ฟาน เห็นกระต่าย กระแต ลิง ค่าง ชะนี ประเภทนกก็มีทุกชนิด ป่าดงที่ทำนาทำไร่ก็มีมากมายสมบูรณ์มีครบหมดทุกอย่าง ขี่ช้างดูอาณาเขตเป็นเวลา 7 วัน ได้พากันมาปรึกษาหาที่ปลูกบ้าน ที่วัด ที่นา ที่หากินหมายความว่าคุณปู่คุณตา คุณครูบาอาจารย์ เป็นผู้หูยาวตายาวเมื่อทั้ง 7 คนได้เห็นด้วยหูด้วยตาลงมติกันแล้วก็พากันกลับบ้านด้วยช้างเป็นพาหนะ รวมไปกลับเป็นเวลา 8 คืน 9 วัน แต่ละวันกลับมานอนบ้านบึงแก ตื่นเช้าออกเดินทางแต่เช้าทุกวัน พอกลับไปถึงบ้านก็ไปเล่าสู่ชาวบ้านฟังว่าเอาตาไปดูแล้วทุกคนว่าพอใจ เป็นที่ทำนาทำเลเลี้ยงสัตว์ป่าดง ปู ปลา กบ เขียดอุดมสมบูรณ์ดีทุกอย่าง ห้วยหนอง ลำเซมีมากมาย หนองน้ำไม่ต่ำกว่า 30 แห่ง เมื่อเล่าความเป็นไปให้ชาวบ้านฟังแล้วผู้ที่อพยพแท้มี 7 ครอบครัว คือ 1) พ่อใหญ่โคตร หลักธรรม 2) พ่อใหญ่อาจารย์พิมพ์ 3) แม่ใหญ่อินทร์ 4) พ่อใหญ่พินิตร์ 5) พ่อใหญ่ชาพระวงค์ 6) พ่อใหญ่ชนะวงค์ 7) พ่อใหญ่ศรีมงคุล ฝ่ายพระก็มี 1) ญาครูเวียง 2) ญาครูท้าว 3) ญาครูเทพ เมื่อตกลงว่าจะอพยพก็พากันประกาศขายนา บ้านเรือน วัวควายเหลือแต่สิ่งของที่จำเป็นเมื่อขายสิ่งของหมด ก็พากันจัดเตรียมสิ่งของเครื่องอุปกรณ์ทุกอย่างพร้อมหมดทุกคนแล้ว สมัยนั้นเกวียนก็ไม่มี รถก็ไม่มี การเดินทางใช้ช้างเป็นพาหนะ ช้างพวกอพยพมีช้าง 3 เชือก 1) ช้างพ่อใหญ่โคต หลักธรรม 2) ช้างพ่อใหญ่ศรีมงคุล 3) ช้างพ่อใหญ่พินิตร์ ก็หาช้างเพิ่มอีก 3 เชือก รวมเป็น 6 เชือก
ตอนที่ 4 ก่อตั้งหมู่บ้าน
เมื่อได้ฤกษ์ได้ยามดีแล้ว ก็พากันขนของขึ้นบนหลังช้าง ของหนักเอาขึ้นหลังช้าง ของเบาก็พากันหาบขนไปลงเรือลงแพพร้อมหมดทุกอย่างพวกหนึ่งขึ้นบนหลังช้าง พวกหนึ่งก็พากันล่องเรือมาตามลำน้ำมูลพอมาถึงปากน้ำชีก็เลี้ยวเรือขึ้นตามลำน้ำชี ล่องเรือล่องแพมาเรื่อย ๆ จนมาถึงบ้านเหมือดบัวขาว บ้านท่าก็มาจอดเรือที่นั่น พวกช้างก็มาถึงบ้านบึงแกก่อนก็มาพักรอกันอยู่ที่นั่น พอพวกเรือมาถึงพวกช้างก็พากันไปช่วยขนของมาพักที่บ้านบึงแกมานอนพักที่นั่นสองคืน ตื่นเช้าพวกช้างขนสิ่งของขึ้นหลังช้างออกเดินทางมาถึงจุดที่หมายคือหนองน้ำนี้อยู่กลางดงอยู่ทางทิศใต้ หนองสิมอยู่ครึ่งกลางเขตแดนตำบลดงแคนใหญ่ กับตำบลนาแกปัจจุบัน เขาเรียกหนองบ้านแก พวกช้างก็เก็บของมาลงจุดนั้นช้างไปขนของมาจากบ้านบึงแกสองเที่ยว ส่วนคนและของพวกเรือนำส่งก็พากันกลับคืนบ้านช้างสามเชือกนำส่งก็กลับคืนบ้านเหมือนกัน เหลือช้าง 3 เชือกเท่านั้น ที่ได้มาพักหนองแก มีหนองแฝกอยู่ใกล้กัน พอได้อาศัยทำตูบหลบฟ้าหลบฝน ก็พากันไปเกี่ยวหญ้าแฝกมา จ่ามและไพ พอได้มุงเป็นที่อาศัยชั่วคราวมาพักอยู่ที่นั้นประมาณหนึ่งเดือน กลางวันก็พากันขี่ช้างไปหาเกี่ยวหญ้าแฝกหญ้าคา กลางคืนก็พากันไพเมื่อได้หญ้าพอสมควรก็พากันไปถากถางที่ปลูกบ้าน เริ่มแรกพากันมาปลูกเรือนอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้วัดเก่า ทางตะวันตกป่าโพธิ์ปัจจุบันนี้ เริ่มแรกมีเจ็ดหลังคาเรือน ส่วนพระก็มาอาศัยอยู่ดอนป่าโพธิ์ทางทิศใต้วัดเก่า ต่อมาสามญาครูก็พากันพิจารณาหาที่ปลูกกุฏิก็พากันวางแปลนและปักเขตแดนไว้เป็นที่กว้างขวาง ท่านก็ขอร้องชาวบ้านมาถากถางแล้วทำกุฏิสำรองไว้หนึ่งหลัง ต่อมาปีที่ 3 ก็พาชาวบ้านสร้างกุฏิสมบูรณ์ขึ้นหนึ่งหลัง พอสร้างกุฏิเสร็จโยมบ้านกู่จานมานิมนต์ญาครูเทพไปเป็นเจ้าอาวาส ต่อมาอีกประมาณหนึ่งเดือน โยมบ้านดงแคนใหญ่ขาดเจ้าอาวาสมานิมนต์เอาญาครูท้าวไปเป็นเจ้าอาวาสอีก ทีแรกญาครูก็พักที่ดอนป่าโพธิ์ท่านก็พากันปลูกกุฏิที่แน่นอนก็ทิศเหนือป่าโพธิ์เป็นเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ อยู่ต่อมาก็มีพวกอพยพครอบครัวมาจากบ้านแก้ง บ้านส้มป่อยมูล และชาวบ้านเป้ามาอยู่ทางทิศตะวันตกวัด แต่เป็นทิศเหนือของผู้อยู่ก่อน ก็เพิ่มหลังคาเรือนมากขึ้นต่อมาพวกที่อยู่ทางทิศใต้ได้รับความเดือดร้อน เมื่อเวลาฝนตกลงมาน้ำสกปรกก็ไหลลงมาผ่านหน้าบ้านพวกอยู่ก่อนเป็นการไม่เหมาะสมก็เลยพากันเคลื่อนย้ายเข้ามาอยู่ทางทิศเหนือวัด ทางครอบครัวชาวบ้านก็มากขึ้นมาเรื่อย ๆ จนหลังคามีจำนวน 360 หลังคาเรือน แบ่งเป็น 4 คุ้ม 1) คุ้มวัดใน 2) คุ้มวัดนอก 3) คุ้มบ้านเค็ง 4) คุ้มบ้านเหล่าคา มีผู้ใหญ่บ้าน 3 คน วัดก็สร้างขึ้น 2 วัด วัดนอก กับวัดใน วัดแรกอยู่ทิศตะวันตก อีกวัดหนึ่งอยู่ทิศตะวันออกบ้านเรียกว่าวัดนอก ชาวบ้านสามัคคีกันดีวันในได้สร้างกุฏิขึ้น 2 หลัง กุฏิใต้กุฏิเหนือ ศาลาการเปรียญ 1 หลัง หอโปง (หอระฆัง) หนึ่งหลัง หอกลองหนึ่งหลังและสร้างโบสถ์หนึ่งหลัง เมื่อสร้างเสร็จพระเณรก็แยกย้ายกันอยู่แล้วแต่ความสมัครใจ วัดในยาครูเวียงเป็นเจ้าอาวาส วัดนอกยาครูศรีสมุทรเป็นเจ้าอาวาสก็พากันสร้างขึ้นแต่เป็นโบสถ์ขนาดเล็กบางปีมีนาคบวชมากทำให้คับแคบบรรจุพระได้น้อยแต่สมัยก่อนหลังค่าโบสถ์หลังกุฏินิยมตอกไม้กระดานมีมุงเป็นหลังคาการเปรียญอยู่มายาครูพาพร้อมด้วยพระเณรและชาวบ้านก็สร้างโบสถ์หลังใหม่ขึ้นเพราะโบสถ์
หลังเก่าเป็นโบสถ์ขนาดเล็กบรรจุพระได้น้อยเลยพากันมาปั้นเอาดินที่นาแม่ใหญ่แหล้ อุทิศให้เป็นเนื้อดินกว้าง 10 วา ยาวประมาณ 15 วา ก็พาชาวบ้านพร้อมด้วยพระเณรไปขุดเอาดินที่นั้นมาปั้นอิฐเตาเผาก็เผาที่นั่น เมื่อปั้นดินอิฐมากแล้วคาดว่าคงพอก็พากันรื้อโบสถ์เก่าออกแล้วก็พากันก่อใหม่ขึ้นที่เดิมขยายออกให้กว้างกว่าเดิมเป็นโบสถ์ขนาดกลาง ไปตัดเอาไม่ดอนปู่ตามาเลื่อยพอแล้วก็พากันทำพิธียกเป็นตัวโบสถ์ขึ้นใช้ไม้แคนเป็นเครื่องบนหลังคาข้างล่างก่อด้วยอิฐสร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2466
ตอนที่ 5 บ้านแตก (พ.ศ.2472)
พอเริ่มสร้างโบสถ์ขึ้นบ้านเมืองก็เริ่มป่วยด้วยไข้มาลาเลีย ครั้งแรกชาวบ้านและทางวัดก็ไข้สาเหตุก็ชาวบ้านนาแกได้ลงมติกันไว้ว่าไม้ดอนปู่ตาห้ามมิให้พากันไปตัดฟันเป็นเด็ดขาดได้ทำสัญญาไว้ทั้งดอนสงนางน้อยและดอนสงนางใหญ่แต่ชาวบ้านนาแกลืมสัญญาพากันไปตัดฟันเมื่อไปตัดไม้ขาดแล้วก็เป็นเรื่องประหลาดคือ ตัดไม้ขาดแล้วแต่ไม้ก็ไม่ยอมล้มลง ก็เลยให้เฒ่าจ้ำแต่งขันธ์ 5 ไปคารวะร้องขอว่าจะเอาไปทำโบสถ์เฒ่าแก่พร้อมบ้านพร้อมเมืองไปขอขมาโทษไม้ก็ล้มลงก็พากันไปเลื่อยจนเสร็จเอามาทำระแนงจนพอหลังคาต่อมาไม้ที่เหลือก็พากันขนไปไว้ในวัดบ้านเมืองก็พากันล้มป่วยไข้มากขึ้นพระเณรทั้งวัดก็ไข้กันงอมแงมกันไปหมดไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรชาวบ้านก็ประชุมกันว่าไปหาหมอวิชามาเสี่ยงทาย หมอเขาบอกว่าเพราะไปตัดได้ดอนปู่ตาให้เอาไม้ไปคืนเสียและปลูกทดแทนไม้ที่เหลือก็พากันเอาไปส่งคืนบ้านเมืองก็ยิ่งป่วยหนักขึ้นทุกทีบางหมอก็ทายว่าวัดหามบ้านถ้าไม่รื้อถอนมารวมกันบ้านเมืองก็จะไม่ปกติ ก็พากันรื้อวัดนอกมารวมเป็นวัดเดียวกัน แต่อาการป่วยไข้ก็กำเริบไข้กันแทบหมดทุกเฮือน (ครัวเรือน) ระยะนั้นนายเฟบ บุญห่อเป็นผู้ใหญ่บ้าน ทางบ้านก็ตายทางวัดก็ตาย ตายวันละ 2 - 5 คน เห็นท่าทีจะไม่ไหวผู้ใหญ่บ้านก็ประชุมชาวบ้านให้พากันย้ายออกเสียก่อน (ย้ายหมู่บ้าน) ไม่มีท่าทีจะดีขึ้นผีปอบผีป่าก็มีมากไล่ปอบกันตลอดวันตลอดคืนผู้ตายมากขึ้นจนจะไม่มีคนหามกันไปทิ้ง ตกลงก็พากันย้ายไปอยู่บ้านหนองตุกหลุก บ้านม่วง บ้านบ๋า บ้านน้อย ย้ายไปอยู่ตามทุ่งนา ย้ายไปบ้านใหม่ไปอยู่จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดอุดรธานี จังหวัดสกนคร ฉะนั้นรวมคนผู้ใหญ่และเด็ก 227 คน พระเณร 7 คน วัดก็ย้ายมาอยู่วัดปัจจุบันนี้ พวกมาอยู่บ้านบ๋าก็ย้ายไปอยู่บ้านหนองตะบาง ส่วนพระอยู่บ้านบ๋าตามเดิม สวนยาครูพาพร้อมด้วยครอบครัวและปู่แพง (ชื่อเล่นเฒ่าหลวงปาน) ครอบครัวอื่นก็มาท่านก็ย้ายไปอยู่อำเภอสว่างแดนดิน บ้านโคกศรีลา จังหวัดสกนคร ไปอยู่ที่นั่นก็ตั้งให้เป็นอุปัชฌาย์ ท่านสร้างวัดและโบสถ์จนสำเร็จ เมื่อท่านมรณภาพไปก็ตั้งอุปัชฌาย์ชาลีเป็นผู้แทนท่านย้ายไปอยู่ที่โน่นก็อุดมสมบูรณ์ดี
ตอนที่ 6 ประวัติบ้านนาแกเริ่มใหม่ (พ.ศ.2478)
สมัยนั้นพอบ้านนาแกได้เป็นบ้านแตกพากันอพยพหนีหมด ปล่อยให้บ้านนาแกเดิมเป็นบ้านร้างเสียแล้วเกรงว่าเป็นเพราะภูตผีปีศาจและไข้มาลาเรียมาทำร้ายบ้านเมืองเวลานั้นท่านกำลังบวชเป็นพระอาจารย์ลีอยู่ท่านก็ได้มาปรึกษาญาติโยมว่าอาตมาจะไปจำพรรษาที่วัดบ้านคูขาด เพราะความเป็นห่วงญาติโยมประสบภัยอันตรายน่าวิตกมากล้มตายไปมิใช่น้อย ท่านก็ตัดสินใจไปเรียนวิชาอาคมจากอุปัชฌาย์ศรีบ้านคูขาด ท่านไปเรียนอยู่ได้หนึ่งพรรษาเศษท่านก็สอนศิษย์ให้หมดทุกอย่างพอจะปกครองบ้านเมืองได้ท่านก็ลาท่านอาจารย์กลับบ้านพอมาถึงบ้านท่านก็มาประชุมชาวบ้านว่าจะพาชาวบ้านกลับคืนถิ่นฐานเดิม ชาวบ้านก็เห็นพร้อมด้วยทุกครอบครัวท่านก็พาชาวบ้านทำพิธีนิมนต์พระมาเก้ารูปมาสูตรถอดและทำบุญหาปริสาท (ปีศาจ) ที่มาทำร้ายบ้านเมืองอุทิศส่วนกุศลไปให้ทำพิธีหว่านแหหว่านทรายรอบบริเวณบ้านแล้วทำพิธีฝังบือเมือง ปักเขตบ้านสี่ทิศเฝือหญ้าคากางรอบหมู่บ้านพอเสร็จแล้วก็ฝังบือบ้านแล้วก็ประกาศให้แขกไปไทยมามิให้มาเดินผ่านหมู่บ้านเป็นเด็ดขาดมีกำหนดสามวัน ท่านได้จัดเวรยามรักษาทุกเส้นทาง เมื่อครบสามวันแล้วท่านเปิดให้ประชาชนคนสัญจรไปมาได้ตามสบาย ท่านก็พาชาวบ้านอพยพมาอยู่ตามความชอบใจคนที่ 1 คือนายเทพ บุญห่อ คนที่ 2 ครอบครัวนายลี ฝอฝน คนที่ 3 นายดี ทองใบ คนที่ 4 นายจันทร์ ผาสุก ต่อมาคนที่ 5 นายผง สายสิงห์ คนที่ 6 นายวัน วงเวียน นอกจากนี้ก็พากันอพยพมาจนหมดทุกครอบครัว ท่านอาจารย์ลีเป็นคนฝีมือดีเป็นนักพัฒนาจัดทำชาลีขึ้นสำหรับขนไม้พาชาวบ้านไปรื้อกุฏิและศาลาการเปรียญ หอกลองมาปลูกขึ้นที่บ้านนาแกปัจจุบัน บ้านเมืองก็เพิ่มหลังคาเรือนมากขึ้นจนมีครอบครัว 86 ครอบครัว กุฏิและศาลาการเปรียญก็ชำรุดทรุดโทรม ชาวบ้านนาแกใหม่ก็พากันรื้อถอนสร้างขึ้นใหม่อาทิเช่น ศาลาการเปรียญ กุฏิ โบสถ์ ห้องครัว ห้องส้วม ซุ้มประตูเข้าวัด กุฏิเพิ่มใหม่อีกสองหลัง ทุกวันนี้กำลังพัฒนาไปเรื่อย ๆ ครอบครัวก็เพิ่มทุกปีบ้านเมืองก็อุดมสมบูรณ์ดีทุกครอบครัว



